SCGC จับมือ AboitizPower พัฒนาโรงไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งแรกในฟิลิปปินส์
SCGC จับมือ AboitizPower ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ในฟิลิปปินส์ เดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งแรกในฟิลิปปินส์ ด้วยดิจิทัลโซลูชันครบวงจร จาก REPCO NEX
Aboitiz Power Corporation (AboitizPower) หนึ่งในผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ในฟิลิปปินส์ ร่วมกับ เร็ปโก เน็กซ์ (REPCO NEX) ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้ให้บริการโซลูชันด้านอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ลงนามความร่วมมือในโครงการอาร์คังเฮล (Project Arkanghel) เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งแรกในประเทศฟิลิปปินส์ เพิ่มเสถียรภาพการผลิตไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีแบบจำลองเสมือน (Digital Twin) สอดรับกับเมกะเทรนด์ความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โครงการอาร์คังเฮล (Project Arkanghel) เป็นโครงการพัฒนาแบบจำลองเสมือนของโรงไฟฟ้า (Digital Twin) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าสามารถทำการจำลองกระบวนการทำงานภายในโรงไฟฟ้าได้ โดยสามารถคาดการณ์ประสิทธิภาพที่จะเกิดขึ้นจริง ด้วยการดำเนินงานตามปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อกำหนดแนวทางการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ ตลอดจนสามารถตรวจจับความผิดปกติล่วงหน้าได้ โดยจะเริ่มพัฒนาให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินแบบเตาเผาระบบฟลูอิไดซ์เบดแบบหมุนเวียน (Circulating Fluidized Bed: CFB) ของ AboitizPower ได้แก่ โรงไฟฟ้า Therma Visayas กำลังการผลิต 340 เมกะวัตต์ เมืองโตเลโดซิตี้ จังหวัดเซบู และโรงไฟฟ้า Therma South กำลังการผลิต 300 เมกะวัตต์ เมืองดาเวา ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนอื่น ๆ ในอนาคต
นอกจากเทคโนโลยี CFB ของโรงไฟฟ้า ที่นำความร้อนจากการเผาไหม้กลับมาหมุนเวียนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว เทคโนโลยี Digital Twin จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสนับสนุนและยกระดับการบริหารจัดการประสิทธิภาพของสินทรัพย์ (Asset Performance Management) ตลอดช่วงวงจรชีวิตของสินทรัพย์ (Asset Life Cycle) ผ่านกระบวนการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance) ทำให้เกิดการทำงานเชิงรุก และส่งผลให้ลดช่วงเวลาที่ต้องหยุดเดินโรงไฟฟ้าทั้งในส่วนที่วางแผนและนอกเหนือจากแผน (Planned and Unplanned Downtime)
นายซานโดร อบอยทิซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท AboitizPower กล่าวว่า “โรงไฟฟ้าอัจฉริยะทั้งสองแห่งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความพร้อมในการส่งกระแสไฟฟ้าในสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เราต้องรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน การนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ข้อมูลสมัยใหม่ (Data Science) มาประยุกต์ใช้กับสินทรัพย์สำคัญที่มีอยู่ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับ Energy Transition Journey ของ AboitizPower”
นายอัลโด รามอส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ สายโรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน บริษัท AboitizPower กล่าวว่า “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด และมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการพลังงานเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้น 16% ระหว่างปี พ.ศ. 2558 ถึง 2564 ความต้องการในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นถึง 22% ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งความท้าทายในการพัฒนาสภาพเศรษฐกิจและสังคม ความพยายามบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ท่ามกลางความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความพยายามในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มากที่สุด นำไปสู่การเริ่ม Project Arkanghel ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งจำเป็นต้องเร่งทำในระหว่างที่เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนยังอยู่ในช่วงพัฒนา”
นายมงคล เฮงโรจนโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC กล่าวว่า “แรงขับเคลื่อนสำคัญของเมกะเทรนด์ด้าน AI และ ESG คือ ภาคพลังงาน ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานและเป็นเสาหลักในการพัฒนาของทุกประเทศ REPCO NEX พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญนี้ร่วมกับ AboitizPower ผู้นำภาคพลังงานของฟิลิปปินส์ ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทีมงาน REPCO NEX ทั้งในด้านดิจิทัลโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ และความเป็นเลิศด้านปฏิบัติการ (Operational Excellence) จะช่วยสนับสนุนให้โครงการนี้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มและเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืน”
นายชาคร กรัยวิเชียร กรรมการผู้จัดการ REPCO NEX ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC กล่าวว่า “REPCO NEX จะนำข้อมูลขนาดใหญ่เข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ และสร้างแบบจำลอง เพื่อแจ้งเตือน และให้คำแนะนำในการเดินโรงไฟฟ้า ซึ่งแบบจำลองดังกล่าว สามารถนำไปใช้ปฏิบัติงานได้จริง ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ REPCO NEX ยังจะช่วยพัฒนาองค์ความรู้ด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรของ AboitizPower โดยนำศักยภาพด้าน Operational Technology(OT) มาผสานกับ Information Technology(IT) ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้รวดเร็วและดียิ่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากจะเพิ่มปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้แล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย ความร่วมมือระหว่าง AboitizPower และ REPCO NEX ในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาโรงไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งแรกของประเทศฟิลิปปินส์ได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน”