Business

งานวิจัยล่าสุดของดีลอยท์เผย ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองการเติบโตของรายได้เป็นกลยุทธ์สำคัญ

Spread the love

งานวิจัยล่าสุดของดีลอยท์เผย ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองการเติบโตของรายได้เป็นกลยุทธ์สำคัญ แม้จะยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงภายนอก

  • แม้จะยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงภายนอก แต่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร้อยละ 82 ยังให้ความสำคัญกับการเติบโตของรายได้ มากกว่าการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 71 และผลการดำเนินงานทางการเงินที่ร้อยละ 70
  • ความสนใจในการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกว่าหนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือร้อยละ 28 ระบุว่าองค์กรของตนมีการทำธุรกรรมด้านการควบรวมและซื้อกิจการ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในช่วง 36 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่เกือบครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ46 – คาดว่าจำนวนข้อตกลงจะเพิ่มขึ้นในอีก 36 เดือนข้างหน้า
  • ปัจจัยด้านบุคลากรและความไว้วางใจ” – ทักษะทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญด้าน AI ร้อยละ78 ความเสี่ยงจากการนำมาใช้ ร้อยละ 55 และวัฒนธรรมองค์กรและความไว้วางใจ ร้อยละ 45 – เป็นประเด็นสำคัญที่ซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการใช้ AI ในงานด้านการเงิน
  • ซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ถึงหนึ่งในสี่ หรือ เพียงร้อยละ 23 ได้นำปัจจัยด้าน ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ

ดีลอยท์ เซาท์อีสท์เอเชีย ซีเอฟโอ โปรแกรม (Deloitte Southeast Asia CFO Program) เปิดเผยผลสำรวจ SEA CFO Agenda 2025 พบว่าการเติบโตของรายได้เป็นประเด็นด้านกลยุทธ์สำคัญอันดับต้นๆ ของ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ร้อยละ 82 เหนือกว่าการควบคุมต้นทุน (ร้อยละ 71) และผลการดำเนินงานทางการเงิน (ร้อยละ 70) ทั้งนี้ แม้จะยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ก็ตาม

ดีลอยท์ ได้ทำการสำรวจ ซีเอฟโอ จำนวน 190 คนใน 7 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และเวียดนาม โดยมีการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวกับ ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 11 คน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เผยให้เห็นความเห็นของ ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากปีก่อน

“ผลการสำรวจล่าสุดของเราแสดงให้เห็นว่า ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทัศนคติเป็นกลาง แม้จะมีมุมมองที่เป็นบวกในเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมและผลการเงินของบริษัท แต่ก็เป็นไปด้วยความระมัดระวัง ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากความรู้สึกเชิงลบเมื่อปีที่แล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการปรับตัวและและคุ้นชินกับภาวะปกติใหม่ที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ซีเอฟโอมุ่งให้ความสำคัญในเรื่องการเติบโตของธุรกิจอย่างชัดเจน” โฮ ก๊ก หยง วีเอฟโอ โปรแกรม ลีดเดอร์ ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก และ เซาท์อีสท์เอเชีย กล่าว

เร่งสร้างมูลค่า

เพื่อสนับสนุนองค์กรในการขับเคลื่อนการเติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้วิธีการปรับกลยุทธ์การจัดสรรเงินทุนที่มีความรอบคอบมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบสินทรัพย์ลงทุนในพอร์ตของตน จากผลการสำรวจพบว่า กว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือ ร้อยละ 58 มีการประเมินผลการดำเนินงานของพอร์ตโฟลิโออย่างน้อยปีละสองครั้ง

ที่น่าสังเกตคือ ความสนใจในการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกว่าหนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือร้อยละ 28 ระบุว่าองค์กรของตนมีการทำธุรกรรม M&A อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในช่วง 36 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่สัดส่วนที่มากกว่า – เกือบครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 46 คาดว่าจำนวนข้อตกลงจะเพิ่มขึ้นในอีก 36 เดือนข้างหน้า

“การที่ซีเอฟโอในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ มีการทบทวนพอร์ตโฟลิโอการลงทุนของตนอย่างน้อยปีละสองครั้ง ถือเป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและดำเนินการแก้ไขทิศทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซีเอฟโอต้องเป็นผู้นำในการผลักดันให้องค์กรมีแนวคิดในการทบทวนพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงการจัดสรรทรัพยากรและมีส่วนร่วมกับคณะกรรมการ เพื่อให้มั่นใจว่าสินทรัพย์สอดคล้องกับทิศทางเชิงกลยุทธ์โดยรวมของบริษัท และหากไม่สอดคล้อง ซีเอฟโอต้องมีความพร้อมและความสามารถในการตัดสินใจถอนการลงทุน หรือร่วมมือกับพันธมิตรที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างรวดเร็ว” โฮ ก๊ก หยง กล่าว

“ในท้ายที่สุด การเติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและผันผวนสูงในปัจจุบัน จำเป็นต้องอาศัยสองความสามารถหลัก ได้แก่ ความสามารถในการรับมือ (resilience) เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคง และ การเติบโตเชิงเปลี่ยนแปลง (transformative growth) เพื่อเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น เป้าหมายของซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรเป็นการกระจายแหล่งรายได้และพัฒนาโครงสร้างรายได้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน” เขากล่าวเสริม

การผลักดันการใช้ AI ที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยรวมแล้ว ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนหนึ่ง คาดหวังว่าเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติจะมีบทบาทมากขึ้นในการดำเนินงานขององค์กร มากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 59 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดหวังที่จะนำระบบอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงานมากขึ้น และมากกว่าหนึ่งในสาม หรือร้อยละ 34 คาดว่าจะเพิ่มการลงทุนด้านดิจิทัลในอนาคต

ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมากที่ ดีลอยท์ได้คุยด้วย เปิดเผยว่าองค์กรของพวกเขามีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (Centres of Excellence – CoEs) และ/หรือ ทีมเฉพาะเพื่อดูแลการทดลองการใช้งานกรณีศึกษาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตามนื่องจากหลายองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ การใช้งานส่วนใหญ่จึงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ กรณีศึกษาต่างๆ จึงมักเป็นแอปพลิเคชันที่มีความเสี่ยงต่ำ ที่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยการนำระบบอัตโนมัติมาใช้กับงานที่ต้องใช้แรงงานคนบางส่วนเท่านั้น

นอกจากนี้ ซีเอฟโอยังเผชิญกับความท้าทายในการตัดสินใจลงทุนใน AI เนื่องจากขาดกรณีศึกษาที่มีความน่าสนใจอย่างชัดเจน และความยากในการประเมินผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับ AI อีกทั้งยังมีความกังวลด้านความเสี่ยงและการกำกับดูแล (ร้อยละ 45) รวมถึงประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย (ร้อยละ 27)

สำหรับบทบาทด้านการเงินโดยเฉพาะ ซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระบุว่าปัจจัยด้านบุคลากรและความเชื่อมั่นเป็นข้อกังวลหลักเกี่ยวกับการใช้ AI ซึ่งรวมถึง ทักษะทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญด้าน AI ร้อยละ 78 ความเสี่ยงในการนำ AI มาใช้ ร้อยละ 55 และ วัฒนธรรมองค์กรและความไว้วางใจ ร้อยละ 45

ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตระหนักว่าวิจารณญาณและการตัดสินใจของมนุษย์มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในการนำ AI ที่มีความน่าเชื่อถือมาใช้งาน นอกจากนี้ พวกเขายังเห็นว่าการพัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงาน ไม่เพียงแต่เพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ความสามารถระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้ ควรเป็นเป้าหมายหลักในการยกระดับความเข้าใจและความชำนาญด้าน AI ในอนาคต

การปรับวัตถุประสงค์ด้าน ESG และวัตถุประสงค์ทางการเงินให้สอดคล้องกัน

แม้ว่าการพูดคุยของดีลอยท์กับซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับความสำคัญและความเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นของประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) แต่ผลสำรวจพบว่า มีซีเอฟโอเพียงไม่ถึงหนึ่งในสี่ (ร้อยละ 23) เท่านั้นที่นำปัจจัยด้านสภาพอากาศและ/หรือ ESG มาบูรณาการเข้ากับรูปแบบการดำเนินงานขององค์กร โดยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใน ช่วงของการสำรวจหรือทดลองแนวทาง เป็นหลัก

สาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับเรื่องนี้ ได้แก่ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ ร้อยละ 80 ความยากลำบากในการวัดผลกระทบของ ESG ร้อยละ 78 และความจำเป็นในการจัดการงานที่มีความสำคัญหลายๆงานพร้อมกัน ร้อยละ 69 ในขณะปัญหาด้านบุคลากรและความยากลำบากในการวัดผลเป็นความท้าทายสำคัญในด้าน ESG แต่จากการพูดคุยระหว่างดีลอยท์ กับซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าความท้าทายที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือการบริหารจัดการให้เกิดสมดุลระหว่างผลประโยชน์และต้นทุนที่มาพร้อมกับการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสภาพอากาศและ ESG ความท้าทายเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษในด้าน การจัดซื้อจัดจ้าง เนื่องจากกลยุทธ์การจัดหาสินค้าและบริการที่เป็นไปตามมาตรฐาน ESG มักมาพร้อมกับ ต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนในด้านอื่น ๆ มาชดเชย

จากมุมมองของการตัดสินใจทางการเงิน ซีเอฟโอในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังดำเนินมาตรการสำคัญ อาทิ การประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ร้อยละ 40 การรายงานเกี่ยวกับโครงการด้าน ESG ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร้อยละ 40 และการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานด้าน ESG ร้อยละ 33 อย่างไรก็ตาม มีเพียงส่วนน้อย หรือเพียงร้อยละ 16 ที่ปรับการจัดสรรเงินทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ESG ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการวัดผลกระทบของ ESG ที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้

“ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตระหนักว่า เป้าหมายด้าน ESG และความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวไม่ได้ขัดแย้งกันอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นที่ต้องเร่งดำเนินการ พวกเขายังต้องเผชิญกับความท้าทายที่ในการปรับวัตถุประสงค์ด้าน ESG ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการเงิน เพื่อช่วยให้องค์กรในการหาสมดุลที่เหมาะสม ซีเอฟโอ อาจพิจารณาการนำ balanced scorecards มาใช้ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ เพื่อบูรณาการเป้าหมายทางการเงินและ ESG เข้าด้วยกัน” โฮ ก๊ก หยง กล่าว

“อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือแม้ว่าตัวชี้วัดจะมีความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ซีเอฟโอ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรหลีกเลี่ยงการยึดติดกับตัวชี้วัดทางการเงินระยะสั้นมากเกินไป เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว” เขากล่าวเพิ่มเติม

ระเบียบวิธีวิจัย

 


Spread the love