TCMC เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2567 รายได้รวม 1.46 พันล้านบาท
TCMC เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2567 รายได้รวม 1.46 พันล้านบาท ยอดคำสั่งซื้อของกลุ่มวัสดุพื้นผิวพุ่งสูงขึ้นกว่าปีก่อน
ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน (TCM Corporation) หรือ TCMC เผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ทำรายได้รวมกว่า 1.4 พันล้านบาท แม้ตลาดเฟอร์นิเจอร์ในอังกฤษความต้องการของตลาดโดยรวมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดขายที่ลดลงของกลุ่มพรมรถยนต์ ซึ่งบริษัทได้วางแผนรองรับการปรับตัวดังกล่าว ขณะที่กลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวบริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับตลาดและสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดไตรมาส 3 ปี 2567 เติบโตตามสถานการณ์ตลาดที่ฟื้นตัว
นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TCMC) เปิดเผยว่า บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (เรียกรวมกันว่า “กลุ่มบริษัท”) มีรายได้จากการขายและบริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 จำนวน 1,466.68 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,140.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 31.48 ทั้งนี้สำหรับ EBITDA จำนวน 5.88 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 96.17 และมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 116.14 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิ 27.30 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่สองของปี เป็นช่วงโลว์ซีซันของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ ประจวบกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกถดถอย ทั้งในด้านเงินเฟ้อ ค่าพลังงาน ค่าแรง และการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นทั้งหมด แต่ทว่า TCMC ได้วางแผนรับมือกับปัจจัยดังกล่าวอย่างรอบด้าน รวมถึงมองหากลุ่มลูกค้าเพิ่มเติม โดยกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) มีสัดส่วนของรายได้ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักที่สำคัญมาจากตลาดเฟอร์นิเจอร์ในอังกฤษและยุโรปเกิดการชะลอตัว กลุ่มลูกค้าที่เป็นร้านเครือข่ายใหญ่ลดลง แต่บริษัทยังคงมีฐานลูกค้าประจำต่อเนื่อง รวมถึงจากการบริหารจัดการเพื่อเตรียมรับผลกระทบส่งผลให้กลุ่มธุรกิจมีค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลง เป็นผลจากการปรับลดค่าโสหุ้ยโดยการรวมโรงงงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยได้ดำเนินการในไตรมาสแรกของปีก่อนและส่งผลในปีนี้” นางสาวปิยพร กล่าวเสริม
ด้านกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) แม้รายได้ลดลงร้อยละ 1.69 ภาพรวมใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนต้นทุนทำได้ดีกว่าช่วงก่อนโควิด ถึงแม้ยอดขายยังต่ำกว่าระดับปี 2562 ถึง ร้อยละ 19 รวมถึงได้รับผลกระทบจากค่าขนส่ง ค่าแรง และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากสภาพตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี แต่บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกัน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้กลุ่มธุรกิจสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ร้อยละ 40.49 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน พร้อมกันนี้ในไตรมาสที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการกระตุ้นยอดขายโดยการออกงานโชว์ต่างๆ การเดินสายโปรโมทแบรนด์และผลิตภัณฑ์อคูสติก เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ รวมถึงฝ่ายขายในต่างประเทศเริ่มออกเดินทางหาลูกค้ามากขึ้น โดยในครึ่งปีแรกนี้มีคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดจะเห็นออเดอร์เติบโตสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจเป็นไปตามสถานการณ์ตลาด รายได้ลดลงร้อยละ 20.34 จากงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นไปทิศทางเดียวกับตลาด จากปัจจัยการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อรถกระบะลดลง ซึ่งบริษัทได้จัดทำแผนรองรับและเดินหน้าปรับปรุงพัฒนาด้านประสิทธิภาพการผลิต การปรับลดต้นทุนในทุกด้าน การหาลูกค้าในเซ้กเม้นท์ใหม่ๆ คาดในไตรมาสที่ 3 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของสภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มบริษัทโดยรวมยังอยู่ในสภาพที่ดี ซึ่งในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 กลุ่มบริษัทมีรายได้อื่นจำนวน 4.23 ล้านบาท เป็นรายได้จากดอกเบี้ยรับ ค่าเช่า ค่าขายสินทรัพย์ เศษซาก ฯลฯ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอยู่ที่ 6.34 ล้านบาท และใน Q2/2567 นี้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 11.74 ล้านบาท จากการจองซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าของกลุ่มธุรกิจ TCM Surface
“ถึงแม้ว่าในไตรมาสที่ผ่านมา สภาพเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยต่อกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ แต่กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ยังคงความสามารถในการแข่งขันได้ดี เราเชื่อมั่นว่าในปี 2567 จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดและส่วนแบ่งทางการตลาด ตลอดจนศึกษาและมองหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจใหม่ รวมถึงการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการเป็นองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี ค.ศ.2050 หรือ พ.ศ.2593 เพื่อร่วมกันสร้างการเติบโตและก้าวสู่การเป็นองค์กรชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับทุกห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจอย่างรอบด้านที่ยั่งยืน” นางสาวปิยพร กล่าวทิ้งท้าย