CBNTchannel

Connecting the world for you, clearer than ever. Never miss the world's movement.

Business IT

ทำอย่างไรจึงจะทำให้มีการใช้ generative AI มากขึ้น

Spread the love

ทำอย่างไรจึงจะทำให้มีการใช้ generative AI มากขึ้น

บทความโดย
Cedric Clyburn ผู้สนับสนุนนักพัฒนาอาวุโสที่ Red Hat
และ Frank La Vigne นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและผู้จัดการการตลาดทางเทคนิคหลักสำหรับ AI ที่ Red Hat

หากย้อนนึกถึงเทรนด์เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในอดีต เราจะเริ่มเห็นว่าเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้น รูปแบบการใช้งานจริงมักไม่ตายตัว เช่น ไม่มีวิธีการใช้คลาวด์คอมพิวติ้งแบบเดียวที่เหมาะกับองค์กรทุกแห่ง เป็นต้น การผสานแนวทางการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน เช่น ระบบภายในองค์กร และบริการคลาวด์จากผู้ให้บริการต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน จะช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์และสามารถปรับใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ขององค์กรบนโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดได้

หากมองไปในอนาคต การใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายในองค์กรกับแอปพลิเคชันและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่หลากหลาย ก็ไม่ต่างกันกับเทรนด์ที่เกิดขึ้นในอดีต ความยืดหยุ่นจะมีความสำคัญมาก เพราะแนวทางการใช้ AI แบบเดียวไม่มีทางที่จะตอบความต้องการให้กับองค์กรทุกแห่งได้ และผู้ให้บริการด้านแพลตฟอร์ม AI รายใดรายหนึ่งก็ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการทุกอย่างได้เช่นเดียวกัน แต่การผสานระหว่างโมเดลที่สร้างไว้ล่วงหน้า เข้ากับโซลูชันที่ปรับแต่งเอง (custom-tuned solutins) และผสานกับข้อมูลภายในองค์กรอย่างปลอดภัย จะเป็นเครื่องมือผลักดันการใช้ AI ให้รุดหน้า เฟรมเวิร์กต่าง ๆ รวมถึงซอฟต์แวร์และโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นระบบเปิด จะช่วยให้องค์กรทุกขนาดสามารถเข้าถึงและปรับแต่งโมเดล generative AI (gen AI) ต่าง ๆ และนำไปปรับใช้ให้ตรงตามความต้องการเฉพาะขององค์กรได้

ความได้เปรียบของการใช้ gen AI

เพื่อให้เข้าใจว่าจะนำ AI มาใช้กับแอปพลิเคชันภายในและภายนอกได้อย่างไร เราจะมาเจาะลึกถึงวิธีการลงทุนทางเทคโนโลยีขององค์กรต่าง ๆ กันก่อน ข้อมูลจาก Deloitte’s State of Generative AI in the Enterprise in 2024 ระบุว่า ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการลงทุนด้าน gen AI ไม่ใช่แค่เรื่องการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเน้นด้านประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และการทำให้งานที่ต้องทำซ้ำ ๆ กลายเป็นทำได้โดยอัตโนมัติ จริงอยู่ที่โมเดลเหล่านี้สามารถสร้างคอนเทนต์ใหม่ได้ แต่ประโยชน์จริง ๆ ของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) คือความสามารถในการประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาลและสามารถเข้าใจรูปแบบของข้อมูลนั้น ๆ และเมื่อนำไปใช้กับซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันทั่วไป จะทำให้แอปพลิเคชันเหล่านั้นเป็นแอปพลิเคชันอัจฉริยะที่ช่วยเสริมการทำงาน และกระบวนการทำงาน (เวิร์กโฟลว์) ของพนักงานภายในองค์กรได้
Understanding how organizations are focusing on the investment of generative AI in the enterprise, ©Deloitte 2024

อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้อาจแตกต่างกันในแต่ละองค์กร โดยทั่วไปองค์กรจะเริ่มจากการทำให้งานพื้นฐานง่าย ๆ เป็นอัตโนมัติก่อน จากนั้นจึงขยายสู่การทำให้กระบวนการทำงานทางธุรกิจเป็นอัตโนมัติ และบูรณาการ AI ไว้ในขั้นตอนการทำงานทางธุรกิจต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ การนำไปใช้แบบค่อยเป็นค่อยไปมักเริ่มด้วยการนำร่องกับงานที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจมากนัก และใช้ประโยชน์จากเครื่องมือสำเร็จรูปที่พร้อมใช้ทันที (out-of-the-box tools) เช่น เครื่องมือช่วยเขียนโค้ดอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาจากการที่ต้องทำซ้ำ ๆ เมื่อความมั่นใจในคุณประโยชน์ของ AI เพิ่มขึ้น นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และธุรกิจต่าง ๆ จึงเริ่มฝัง AI ไว้ในกระบวนการและแอปพลิเคชันทางธุรกิจเฉพาะด้าน ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือการปรับแต่ง-การพัฒนาโมเดล AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งได้รับการใส่ข้อมูลเฉพาะขององค์กรเพื่อให้ AI สามารถขับเคลื่อนให้เกิดข้อมูลเชิงลึกและการตัดสินใจได้อย่างเจาะจง

ในแต่ละขั้นตอนที่กล่าวมานำมาซึ่งประโยชน์และความซับซ้อนในตัวเอง เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ กำลังใช้ AI ในรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเชิงลึกของขั้นตอนเหล่านี้ที่จะเผยให้เห็นว่า AI จะค่อย ๆ กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สามารถนำไปใช้ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ได้อย่างไร

การใช้ประโยชน์จาก AI: เพิ่มประสิทธิภาพงานต่าง ๆ ด้วยความช่วยเหลือจาก AI

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราหลายคน โดยเฉพาะนักพัฒนาซอฟต์แวร์และวิศวกรได้ใช้ GenAIเพื่อทำให้การทำงานประจำเป็นอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ช่วยเขียนโค้ด (code assistants) เป็นกรณีใช้งานปกติสำหรับ LLMs ซึ่งช่วยปรับปรุงงานด้านการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาต่าง ๆ ที่ต้องทำซ้ำ ๆ เช่น มีการผสานรวม AI ไว้ในเครื่องมือ Red Hat Ansible Lightspeed หรือ Red Hat OpenShift Lightspeed เพื่อให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้เร็วขึ้น หรือการแก้ไขจุดบกพร่องให้กับสภาพแวดล้อมไอทีที่ใช้ในการปฏิบ้ติงาน ซึ่งในทางปฏิบัติจะช่วยให้ Developer สามารถใช้เวลากับการทำงานที่สำคัญ ลดกระบวนการทำงานที่ต้องทำซ้ำๆ ลงได้

โมเดลที่ pre-built เหล่านี้ใช้งานง่าย ปรับแต่งเพียงเล็กน้อยก็ใช้งานได้ และสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานหลัก จึงช่วยให้ทีมไอทีที่ยังใหม่ต่อการใช้ AI มีทางเลือกที่เข้าถึงได้ ด้วยเหตุนี้ แนวทางปกติของการนำ AI ไปใช้ จึงเกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

การนำ AI มาปรับใช้: ผสานรวม AI เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจ

เมื่อบริษัทคุ้นเคยกับเครื่องมือเหล่านี้แล้ว ก็มักจะนำโมเดล AI ต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินการทางธุรกิจ ในขั้นตอนนี้ AI จะถูกฝังไว้ในแอปพลิเคชัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโต้ตอบให้กับผู้ใช้งาน หรือสนับสนุนงานต่าง ๆ ที่สามารถปรับขนาดได้ เช่น การให้บริการลูกค้าแบบอัตโนมัติ ตัวอย่างหนึ่งคือทีม Experience Engineering (XE) ของเราได้ใช้โมเดล Mixtral-8x7b-Instruct เพื่อสร้างบทสรุปโซลูชันมากกว่า 130,000 รายการเพื่อสนับสนุนการทำงานด้านต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้ลูกค้ามีส่วนร่วมด้านการแก้ปัญหาด้วยตนเองเพิ่มขึ้น 20% นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในอุตสาหกรรมจำนวนมาก เป็นผู้นำในการนำระบบการแนะนำที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเครื่องมือสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบไดนามิกมาใช้ อย่างไรก็ตามในบางกรณีระบบเหล่านี้ต้องการการปรับแต่งอย่างสมเหตุสมผล เช่น การเทรนเกี่ยวกับรูปแบบการโต้ตอบเฉพาะทาง หรือพฤติกรรมผู้ใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบจะมีการตอบสนองอย่างตรงประเด็นและเป็นประโยชน์

ในท้ายที่สุด การใช้ AI กับแอปพลิเคชันสมัยใหม่ จะช่วยให้แอปพลิเคชันมีบริบทที่ลึกมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ และไม่ว่าบริบทนี้จะเป็นความเข้าใจทั่วไปหรือเฉพาะเจาะจงสำหรับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง AI ก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นและรู้ขั้นตอนต่าง ๆ ที่จะนำพาสู่เป้าหมายโดยไม่ต้องได้รับการเทรนอย่างละเอียดจากทีมไอที การขจัดความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และระบบเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนหันไปหาแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยี AI ที่สามารถเข้าใจผู้คนและลด ‘งานหนัก’ ของกระบวนการทำงานต่าง ๆ

Red Hat OpenShift AI เป็นแพลตฟอร์มที่ผสานรวมแพลตฟอร์มคลาวด์-เนทีฟ แอปพลิเคชัน เพื่อช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทดสอบ ใช้ และทำซ้ำโมเดล AI ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ การรวมโมเดลพื้นฐานต่าง ๆ เข้ากับข้อมูลธุรกิจโดยการใช้ APIs และเฟรมเวิร์กการผสานรวม AI เช่น LangChain ทำให้การดำเนินงานกับ AI ที่ใช้วิธีแบบดั้งเดิมที่ซับซ้อนจำนวนมากได้รับการจัดการด้วยการเรียกใช้ฟังก์ชันในตัวแอปพลิเคชันเอง

การปรับแต่ง AI: การบูรณาการข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อจัดระเบียบการใช้ AI

ขั้นตอนต่อไปสำหรับผู้ที่พร้อมเป็นเจ้าของโมเดล AI ของตนเองอย่างเต็มรูปแบบ คือการปรับแต่งโมเดลเหล่านั้นด้วยข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งเรียกกันว่าการจัดระเบียบโมเดล (model alignmnet) ซึ่งคือจุดที่ศักยภาพของ AI จะเปลี่ยนจากการใช้งานทั่วไป ไปเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ การจัดระเบียบโมเดลให้สอดคล้องกับบริบทการดำเนินงานของบริษัทให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม การเทรนและการปรับแต่งโมเดลอย่างละเอียดด้วยข้อมูลภายในของบริษัท ทำให้เกิดความท้าทายทางเทคนิค เช่น การจัดการชั้นความลับของข้อมูล การจัดสรรทรัพยากร และการอัปเดทโมเดลที่กำลังใช้อยู่

การปรับแต่งสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นผ่านเฟรมเวิร์กต่าง ๆ เช่น retrieval augmented generation (RAG) และการจัดแนวขนาดใหญ่สำหรับแชทบอต (LAB) ใน InstructLab ซึ่งช่วยให้ทีมสามารถจัดระเบียบ AI ให้สอดคล้องกับความรู้เฉพาะทางและข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ InstructLab ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ จัดเลเยอร์ความรู้เฉพาะของบริษัท หรือความสามารถของโมเดลกับ LLMs พื้นฐานได้โดยใช้เทคนิคการสร้างข้อมูลสังเคราะห์ ซึ่งช่วยให้ AI ตอบคำถามหรือทำงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรได้โดยตรง

พึงระลึกไว้ว่า ไม่มีแนวทางมาตรฐานใดที่องค์กรต่าง ๆ จะนำไปใช้เพื่อการนำ AI มาใช้ในองค์กร อย่างไรก็ตาม การที่จะสามารถนำ AI ไปใช้งานได้มากขึ้นนั้นต้องพิจารณา 3 ประเด็นสำคัญ คือ การใช้ประโยชน์ การนำไปปรับใช้ และการปรับแต่ง gen AI

 


Spread the love
error: Content is protected !!