CBNTchannel

Connecting the world for you, clearer than ever. Never miss the world's movement.

Business

เอบีม คอนซัลติ้ง ชี้โอกาสลงทุนในตลาดยาไทย พร้อมแนะกลยุทธ์รุกตลาดสำหรับผู้เล่นรายใหม่

Spread the love

เอบีม คอนซัลติ้ง ชี้โอกาสลงทุนในตลาดยาไทย พร้อมแนะกลยุทธ์รุกตลาดสำหรับผู้เล่นรายใหม่

อุตสาหกรรมยาและสุขภาพของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จากแรงสนับสนุนของนโยบายภาครัฐ ความต้องการด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ อุตสาหกรรมด้านสุขภาพของไทยได้กลายเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ สร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ภาครัฐของไทยได้เดินหน้านโยบายเพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพ ลดต้นทุนการรักษา และวางเป้าหมายให้ประเทศก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมยาและการสุขภาพที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในรายงานจากเอบีม คอนซัลติ้งฯ ฉบับนี้ได้นำเสนอบทวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยาและสุขภาพ โดยเจาะปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลัก กลไกการสนับสนุนจากภาครัฐ โครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน และแนวทางการเข้าสู่ตลาดของนักลงทุน โดยเฉพาะบทบาทของบริษัทรับจ้างทำการขายหรือตัวแทนจำหน่ายและกระจายสินค้า (Contract Sales Organizations – CSOs) ซึ่งกำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการปักธงในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงนี้

อุตสาหกรรมยาในประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวสู่มูลค่า 6.92 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025 โดยมีแรงผลักดันสำคัญจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมยาสามัญ (Generic Drug) และลดต้นทุนภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข [รูปที่ 1]  รัฐบาลได้ริเริ่มส่งเสริมการใช้ยาสามัญราคาประหยัดเพื่อลดต้นทุนด้านการรักษาพยาบาล  ตลอดจนเทคโนโลยีดิจิทัลด้านสุขภาพ อาทิ การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และร้านขายยาออนไลน์ (e-Pharmacy) ก็กำลังมีบทบาทสำคัญในการยกระดับการให้บริการสุขภาพของไทยให้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงง่ายขึ้นทั่วประเทศ

รูปที่ 1 – ขนาดตลาดอุตสาหกรรมยาประเทศไทย

Scientist filling vials with solution through pipette in test tube rack. Chemist is examining medicine during scientific experiment. She is wearing gloves at pharmaceutical factory.

การเติบโตของอุตสาหกรรมยาไทยได้รับแรงหนุนจากทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทาน [รูปที่ 1]  สำหรับด้านอุปสงค์ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ประชากรไทยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีจะสัดส่วนอยู่ที่ 13.07% ของประชากรทั้งหมด [รูปที่ 2]  ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์กว่า 2.86 ล้านครั้งในปีเดียวกัน และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 5.27% ต่อปี ซึ่งหมายถึงโอกาสสำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่จะมุ่งเน้นไปยังการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังหรือโรคยอดนิยมต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวจากต่างชาติมักนิยมเดินทางเข้ามารับการรักษาในไทย

รูปที่ 2 – ปัจจัยขับเคลื่อนอุปสงค์ด้านการดูแลสุขภาพของประเทศไทย

ในด้านอุปทาน ประเทศไทยมีห่วงโซ่อุปทานด้านสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมตั้งแต่ผู้ผลิตยาและอุปกรณ์การแพทย์ระดับนานาชาติ ผู้ผลิตภาครัฐ ผู้ค้าส่ง และบริษัทตัวแทนจำหน่าย โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งนี้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยาและสุขภาพของไทย พร้อมทั้งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อีกด้วย นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังเอื้อให้ผู้เล่นรายใหม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายจัดจำหน่ายที่มีอยู่เดิม การสนับสนุนด้านกฎระเบียบ และกระบวนการทางการค้าที่ยืดหยุ่น ช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม คือการแข่งขันจากผู้ผลิตภาครัฐ ซึ่งสามารถผลิตและจำหน่ายยาชื่อสามัญที่เป็นที่ต้องการของตลาดในราคาที่ถูกกว่า อาจส่งผลให้บริษัทเอกชนที่มีผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกัน ต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการทำตลาดและแข่งขันด้านราคาอย่างเข้มข้น

รูปที่ 3 – ปัจจัยขับเคลื่อนด้านอุปทานของอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพในประเทศไทย

Glass Vials with Orange Caps on Conveyor Belt at Vaccine Production Facility. Medication Manufacturing Process. Medical Ampoule Production Line at Modern Pharmaceutical Factory.

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังมีนโยบายส่งเสริมเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง และเสริมสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น นโยบายเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้ายาและเวชภัณฑ์ เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตภายในประเทศ และผลักดันให้อุตสาหกรรมด้านสุขภาพไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว  นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการลงทุนในสถานดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาล รวมถึงนโยบายดึงดูดชาวต่างชาติอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปที่มีวีซ่าพำนักระยะยาวในประเทศไทย นโยบายเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ถือเป็นบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพที่มีศักยภาพ ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ยังให้บริการทางการแพทย์คุณภาพสูงที่เข้าถึงได้สำหรับประชากรในประเทศได้ด้วย

รูปที่ 4 – การสนับสนุนจากรัฐบาลไทยต่ออุตสาหกรรมด้านสุขภาพ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรประเมินทั้งอุปสงค์และการแข่งขันในตลาด โดยเฉพาะในบริบทของสังคมผู้สูงอายุของไทยที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความต้องการด้านบริการสุขภาพและผลิตภัณฑ์ชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคค้าปลีกและตัวแทนจัดจำหน่ายกลับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง รัฐบาลไทยยังมีมาตรการจูงใจที่ช่วยสนับสนุนการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการผลิตภายในประเทศ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรนำมาพิจารณา เพื่อกำหนดกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย [รูปที่ 5]

รูปที่ 5 – ประเภทของธุรกิจในอุตสาหกรรมยาของไทย

กลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่นั้นมีความหลากหลาย ทั้งการจัดตั้งบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทแม่ (Wholly Owned Subsidiary) การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) การร่วมทุน (Joint Venture) การสร้างพันธมิตร (Partnership) ระบบแฟรนไชส์ ตลอดจนการส่งออกสินค้า [รูปที่ 6]  ซึ่งบริษัทจะต้องคำนึงถึงประเด็นในด้านต่างๆ ประกอบด้วย อาทิ ต้นทุนการลงทุน ระดับการควบคุมกิจการ ความซับซ้อนของกฎระเบียบ การเข้าถึงตลาด ความเสี่ยงทางธุรกิจ และศักยภาพในการขยายกิจการในระยะยาว การเข้าสู่ตลาดโดยใข้การลงทุนที่สูงอาจช่วยให้บริษัทมีอำนาจควบคุมธุรกิจได้มากขึ้น ขณะที่การลงทุนที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่า มักต้องอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรหรือบุคคลที่สาม ขณะที่ความเร็วในการเข้าถึงตลาดยังขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะสามารถสร้างหรือใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่มีอยู่เดิมในประเทศอย่างไร ซึ่งการที่นักลงทุนจะมั่นใจว่าการเติบโตในระยะยาวจะสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่เลือกนั้น ยังต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่าง ความเสี่ยงทางการเงิน ปัญหาในห่วงโซ่อุปทาน และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP Protection) และความสามารถในการขยายกิจการอีกด้วย

รูปที่ 6 – กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด

ตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดที่ได้รับความนิยมในกลุ่มบริษัทยา คือการจับมือเป็นพันธมิตรกับ บริษัทตัวแทนจำหน่ายหรือ CSO ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานด้านการขายและกระจายสินค้า ทำให้ CSO กลายเป็นตัวเลือกเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับบริษัทที่ต้องการเข้าสู่ตลาดไทย ที่ผ่านมามีบริษัทหลายรายที่เลือกใช้บริการของ CSO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายและเสริมความแข็งแกร่งในกระบวนการบริการหลังการขาย  ตลาด CSO ในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีความพร้อมสูงและยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (Compound Annual Growth Rate: CAGR) เฉลี่ยที่ 6% ต่อปี และมีมูลค่าตลาดแตะ 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 [รูปที่ 7]  โดยมีผู้เล่นหลักในตลาดอย่างบริษัท DKSH และ Zuellig Pharma ซึ่งครองส่วนแบ่งหลักจากความได้เปรียบด้านทีมขายมืออาชีพ เครือข่ายที่ครอบคลุม และระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นท้องถิ่น เช่น Biopharm และ Berlin Pharma ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในผลิตภัณฑ์กลุ่มเฉพาะทาง (Niche Products) ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รูปที่ 7 – ตลาดธุรกิจ CSO ในประเทศไทย

โดยสรุป อุตสาหกรรมยาและสุขภาพของประเทศไทยเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายใหม่ๆ ด้วยแรงจูงใจจากนโยบายภาครัฐและตัวเลือกด้านการลงทุนต่างๆ ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการเข้าสู่ตลาดอยู่ที่การใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบและทรัพยากรเฉพาะตัวของประเทศไทยอย่างมีกลยุทธ์ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งของไทย การ Outsource ฟังก์ชันสำคัญบางส่วนผ่านบริษัทตัวแทนจำหน่าย ตลอดจนการต่อยอดจากกระแสการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และแนวโน้มของสังคมผู้สูงวัย  หากเราสามารถผสานกลยุทธ์เหล่านี้เข้ากับแผนดำเนินธุรกิจได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถประสบความสำเร็จอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพของไทยที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องได้

Close up man hand arranging wood block with healthcare medical icon on hospital background. Health care and Health insurance concept.

Spread the love
error: Content is protected !!